หากลองถอดรหัสความเห็นจากแขกรับเชิญทุกท่านใน Clubhouse EP.1 ล้อมวงคุยกับ YourNextU by SEAC กับหัวข้อ “เป็นเจ้านายยังไงให้ลูกน้องลาออก” จะเห็นได้ว่า หากพูดถึงความสัมพันธ์แบบมืออาชีพในที่ทำงาน คู่ไม้เบื่อไม้เมาที่มักจะถูกยกมาเป็นประเด็นบ่อยๆ ก็คือ หัวหน้า และ ลูกน้อง
บุคลากรทั้งสองกลุ่มมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อบริษัทและองค์กร กล่าวคือ ‘หัวหน้า’ เป็นคนกำหนดทิศทาง ปฏิบัติเป็นตัวอย่าง ส่วน ‘ลูกน้อง’ ก็เป็นคนลงมือทำตาม ถ้าทั้งสองฝ่ายร่วมมือร่วมใจกัน ก็จะเกิดผลลัพธ์ที่ดีต่อธุรกิจ แต่ถ้าฟันเฟืองคู่นี้ดันหมุนคนละจังหวะ ก็มีแววว่าความหายนะอาจจะเกิดขึ้น
ไม่ว่าจะเป็น เจ้านายที่เปลี่ยนใจไปมาตลอดเวลา เจ้านายที่ชอบตามจิกงาน micro-manage เจ้านายที่เป็นสมาชิกในครอบครัว เจ้านายที่เก่งจำความผิด ไม่เคยจำความถูก โดยเฉพาะเจ้านายที่รับชอบ แต่ไม่รับผิด เมื่อได้เครดิตก็รับคนเดียว
เหล่านี้คือพฤติกรรมของเจ้านายที่ทำให้ลูกน้อง “ปวดหัว” และ “อยากลาออก” บั่นทอนจิตใจ ทำให้คนในทีมรู้สึกอึดอัด และทำงานยาก จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าภาวะผู้นำ (Leadership) คือประเด็นใหญ่และกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กร ซึ่งบริษัทที่ปรึกษาและวิจัยระดับโลก Gartner ก็ได้ทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่างหัวหน้าและลูกน้อง 9,000 คน
ในหนังสือ “The Connector Manager” ที่เขียนโดย “Jaime Roca” และ “Sari Wilde” พบว่าสามารถแบ่ง ‘หัวหน้า’ ได้จากสไตล์การ ‘โค้ช’ หรือการสอนงานเป็น 4 แบบใหญ่ๆ ได้แก่
1) “Cheerleader”: ให้คำแนะนำและ Feedback บ้าง คอยให้กำลังใจห่าง ๆ ค่อนข้างปล่อยและให้อิสระกับพนักงาน
2) “Teacher”: คอยพัฒนาพนักงานด้วยการนำประสบการณ์และความถนัดของตนเองมาใช้เป็นแนวทางหลัก
3) “Always on”: ให้ Feedback อย่างครอบคลุมในหลาย ๆ เรื่อง ตลอดเวลา
4) “Connector”: ให้ Feedback ในบริเวณที่ตัวเองถนัด และช่วยแนะนำคนมีความชำนาญด้านอื่น ๆ ให้พูดคุยกับพนักงานที่ต้องการพัฒนาในด้านนั้น
ลองมาดูกันว่าตัวคุณเองหรือหัวหน้าของคุณเป็น ‘หัวหน้า’ สไตล์ไหน! หากต้องการลับคมสกิลและทักษะต่างๆ สู่การเป็น ‘ผู้นำ’ ที่ยอดเยี่ยม และ ‘เจ้านาย’ ที่สมบูรณ์แบบกับ YourNextU พบกับคอร์ส Leadership มากมายให้เลือกเรียน อาทิ Self Leadership, The E3 Leader, Become a Leader That Others Will Want to Follow, Outward Leadership ฯลฯ
นอกจากนี้ ยังสามารถถอดแนวคิดที่ ‘ผู้นำ’ หรือ ‘เจ้านาย’ ควรให้ความสำคัญเพื่อสร้างพลังให้ทีมรู้สึกมุ่งมั่น รับผิดชอบที่จะลงมือทำ และสร้างผลลัพธ์ที่ดี ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด The E3 Leader โดยมีที่มาจาก 3 คำคือ #Engage #Empower และ #Execute
- Engage :คำพูดทรงพลังต้องเข้าให้ถึงใจคน
เชื่อหรือไม่ว่าคำพูดสามารถส่งผลกระทบต่อหัวใจของคนฟังได้แบบที่คุณเองก็คาดไม่ถึง คำพูดเพียงไม่กี่คำสามารถทำให้คนคนหนึ่งรูู้สึกนับถือและศรัทธาคุณได้ในทันทีหากคุณใช้มันอย่างถูกต้อง ดังนั้นเพื่อสร้างคำพูดที่ทรงพลังและสามารถเข้าถึงใจคนฟังได้ คุณต้องเริ่มจากการฟังด้วยความเอาใจใส่เสียก่อน ฟังให้เข้าใจตัวตนของผู้พูดให้ลึกซึ้ง แล้วคุณจะสามารถเข้าใจสถานการณ์ ปัญหาการทำงาน ความต้องการ จนสามารถเลือกสรรค์คำพูดที่ทรงพลังและสามารถเชื่อมโยงถึงใจของผู้ฟังได้
.
- Empower :สร้างความมุ่งมั่นให้ทีม ด้วยบทสนทนาที่ทุกคนมีส่วนร่วม
การจะสร้างแรงบันดาลใจและความมุ่งมั่นในการทำงานให้ทีมนั้น ผู้นำจำเป็นต้องทำให้ลูกทีมทุกคนรู้สึกว่าตัวเองเป็นเจ้าของงานร่วมกันกับทีม ด้วยการสร้างบทสนทนาที่เปิดโอกาสให้ลูกทีมแสดงความคิดเห็นร่วมกัน การสร้างบทสนทนารูปแบบนี้ผู้นำจำเป็นที่จะต้องฝึกฝนการตั้งคำถามที่กระตุ้นให้เกิดการคิดวิเคราะห์ การแบ่งปันแรงบันดาลใจ เปิดโอกาสให้ทีมช่วยกันระบุปัญหา และวิธีการแก้ปัญหา เพื่อจุดมุ่งหมายเดียวกันระบุเป้าหมายที่ชัดเจนให้ทีม
.
- Execute :พิชิตทุกการประชุม ด้วยเทคนิคการควบคุมบทสนทนา
หลังจากระบุเป้าหมายที่ชัดเจนได้แล้ว ก็ถึงส่วนที่ยากที่สุดนั่นก็คือ การประชุมเพื่อวางแผนการทำงาน เพราะถึงเวลาแล้วที่ผู้นำอย่างคุณจะต้องควบคุมการประชุมและตัดสินใจ เพื่อกำหนดแผนงานที่ชัดเจน การประชุมจะมีประสิทธิภาพและไม่ยืดเยื้อเมื่อคุณรู้จักการสร้างข้อกำหนดร่วมกันกับทีมให้ชัดเจน ใช้คำถามเพื่อกำหนดเวลาของการทำงาน สร้างบทสนทนาที่เฉพาะเจาะจงเพื่อไม่ให้หลุดออกจากประเด็นเป้าหมาย หลังจากการประชุมวางแผนคุณควรแบ่งงานให้ลูกทีมอย่างชัดเจนเพื่อให้งานเดินต่อไปข้างหน้าได้ นอกจากนี้ความชัดเจนและเด็ดขาดของคุณในที่ประชุมจะช่วยเรียกความมั่นใจจากลูกทีมของคุณได้อีกด้วย
แน่นอนว่า สิ่งที่จะช่วยเสริมออร่าเจ้านายมากประสบการณ์ให้เด่นชัด คือการเป็นหัวหน้าที่ลูกน้องรัก ซึ่งสามารถสร้างขึ้นได้จาก “บทสนทนา” ที่ไม่ใช่แค่การพูดคุยทั่วไป แต่เป็นบทสนนาที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจ แรงจูงใจ และความภาคภูมิใจ ในการเป็นเจ้าของผลงานที่ตัวเองสร้างขึ้น รับรองได้ว่าสิ่งนี้ จะช่วยให้การทำงานของคุณและทีมราบรื่นกว่าที่เคย
