Active Learning การเรียนรู้เมื่อต้องทำงานร่วมกับ AI

ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรากำลังอยู่ในโลกที่หมุนเร็วขึ้น ยุคที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงและการแข่งขันที่รุนแรง ความรู้หรือวุฒิการศึกษาที่เรามีไม่อาจทำให้ก้าวทันโลกได้อีกต่อไป  Active Learning หรือการเรียนรู้อย่างตื่นตัวจึงเป็นคำตอบของการเรียนรู้ในยุคที่หุ่นยนต์หรือระบบ AI กำลังอัพเกรดซอฟต์แวร์กันอย่างต่อเนื่อง มีพัฒนาการอย่างก้าวกระโดด และค่อยๆ กำจัดจุดอ่อนไปทีละเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการโต้ตอบกับมนุษย์ ความสามารถในการเรียนรู้ การสั่งงานด้วยเสียงและทำงานที่สลับซับซ้อนขึ้นกว่าเดิม ซึ่งในที่สุดจะเข้ามามีบทบาทในโลกการทำงานของมนุษย์เรามากขึ้น เราจึงต้องเปลี่ยน Mindset ในการขับเคลื่อนตนเองให้มี Active Learning ตลอดเวลา

 

คุณ อริญญา เถลิงศรี Chief Capability Officer & Managing Director – SEAC ศูนย์พัฒนาและส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตแห่งภูมิภาคอาเซียน กล่าวว่าหนึ่งในทักษะสำคัญที่จะช่วยให้เราปรับตัวอยู่รอดในยุคนี้คือ การเรียนรู้อย่างตื่นตัว หรือ Active Learning เนื่องจากทุกวันนี้เราต้องวิ่งตามข้อมูลข่าวสารใหม่ๆ อยู่ตลอด เพื่อเก็บเกี่ยวความรู้เข้าตัว และมองหาเทรนด์โลกว่ากำลังก้าวไปในทิศทางไหน ทำให้หลายคนที่ยังจมอยู่กับวิธีการเดิมๆ ความรู้เก่าๆ ต้องหันมาเร่งพัฒนาและปรับปรุงตนเองให้มีทักษะเหนือกว่าระบบ AI เพื่อบริหารจัดการควมคุมและทำงานร่วมกันกับหุ่นยนต์ได้ในอนาคต

 

ทำไม Active Learning จึงเป็นสิ่งสำคัญในสถานการณ์นี้? เราลองพิจารณาถึงรูปแบบงานในอนาคต ถ้าวันหนึ่งระบบ AI ฉลาดกันมากๆ แล้วจะเหลืองานอะไรให้มนุษย์ทำกันบ้าง? ทุกวันนี้บริษัทใหญ่หลายรายต่างแข่งกันพัฒนาสินค้าและนวัตกรรมต่างๆ อย่างจริงจัง จนหุ่นยนต์ทำลายข้อจำกัดต่างๆ ของมนุษย์ ทำงานใหญ่ๆ ยากๆ ได้ดีกว่ามนุษย์ โดยไม่เหน็ดเหนื่อย ไม่มีดราม่าความขัดแย้งเมื่อต้องประสานงานกัน ในขณะที่มนุษย์ยังมี Human Error แต่หุ่นยนต์นั้นกลับแลกเปลี่ยนความรู้กันได้โดยไม่มีปัญหา และพร้อมรับความรู้ข้อมูลข่าวสารทุกอย่างได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อ AI ยังเรียนรู้ได้ตลอดเวลา คนก็ต้องมี Active Learning เพื่อเรียนรู้ได้อย่างไม่มีขีดจำกัดเช่นกัน

 

จากรายงานของ World Economic Forum กล่าวถึงทักษะที่ใช้แรงกายจะมีความสำคัญน้อยลงเพราะหุ่นยนต์และระบบ AI จะเข้ามาแทนที่ รวมถึงงานที่ต้องใช้ความทนทานและความต่อเนื่อง การตรวจเช็คคุณภาพสินค้า และการจัดสรรทรัพยากรและคงคลัง เป็นต้น งานเหล่านี้ได้มีการพัฒนาระบบ AI ให้เข้ามาทำแทนมากขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้ชัดว่า ความสามารถด้านเทคโนโลยีในปัจจุบันเรียกว่าก้าวกระโดดจนน่ากลัว

 

Ginni Rometty ซีอีโอของบริษัท IBM กล่าวว่า “AI จะเปลี่ยนโฉมหน้าของงานแบบ 100% ภายใน 5-10 ปีข้างหน้า” ในขณะที่งานบางส่วนจะหายไป แต่งานส่วนใหญ่ที่ยังเหลืออยู่นั้นต้องการคนที่สามารถทำงานร่วมกับ AI และ Analytics ได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ต้องมีการฝึกอบรมทักษะต่อคนทำงานในวงกว้าง นอกจากนี้ ความรู้หลายๆ ประการที่ได้เรียนในระบบการศึกษาปัจจุบันจะกลายเป็นสิ่งที่ล้าสมัยหรือมีสิ่งใหม่ๆ มาทดแทนเมื่อจบการศึกษาออกไป ดังนั้น  Active Learning จึงเป็นคำตอบของการเรียนรู้ ที่ไม่ได้จำกัดอยู่แต่ในห้องเรียนแต่เพียงอย่างเดียว แต่ต้องรู้จักที่จะเรียนรู้ตลอดเวลา

 

นี่จึงเป็นเหตุผลที่  Active Learning  เป็นวิธีการเรียนรู้ที่สำคัญอย่างยิ่งในโลกปัจจุบันและอนาคต เพราะเราไม่สามารถรอให้ใครมาสั่งให้เราต้องเรียน ต้องอ่านหนังสือและต้องพัฒนาตนเอง แต่เราต้องมีความกระตือรือร้นและตื่นตัวที่จะเรียนรู้ด้วยตนเองอยู่ตลอดเวลา เพิ่มความถี่ในการปรับทักษะ โดยเริ่มวางแผน Strategy ในการเรียนรู้ของเราเอง จัดตารางเวลาในการเพิ่มความรู้ให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต และนำความรู้นั้นไปปรับใช้ในการตัดสินใจ แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละสถานการณ์อย่างเหมาะสม ผ่านการลงมือทำด้วยตนเองจนชำนาญและเกิดเป็นทักษะใหม่ๆ นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ Active Learning ก้าวมาเป็นทักษะที่รองรับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

 

Active Learning ไม่ได้จำกัดแค่การอ่าน หรือการเข้าถึง เพื่อให้ได้ความรู้ แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือ Soft Skills และเราไม่สามารถเรียนรู้และได้ Soft Skills จากแค่การดูวิดีโอหรือทำแบบทดสอบเท่านั้น แต่เราต้องก้าวข้ามรูปแบบการเรียนรู้เดิมๆ ไปสู่รูปแบบการเรียนรู้ใหม่ๆ ที่ทำให้การเรียนรู้กลายเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ ออกแบบเส้นทางการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับตนเอง นอกจากนี้ Active Learning  ยังทำให้เรารู้ว่า การเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญเพียงแค่หนึ่งคนนั้นไม่เพียงพอสำหรับการเตรียมความพร้อมสู่โลกการทำงานในอนาคต แต่ต้องเรียนรู้จากกลุ่มคนที่มารวมตัวกัน เป็นสังคมที่รวมผู้คนที่มีความสนใจและความเชี่ยวชาญในหลากหลายสาขามาแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความรู้ การเรียนรู้ที่จะมอบพื้นที่และเปิดโอกาสให้แสดงความคิดได้อย่างสร้างสรรค์และอิสระ ผ่านการแสดงบทบาทสมมติ การพูดคุย ระดมความคิดเพื่อให้เกิดไอเดียใหม่ๆ อย่างการได้รับโจทย์ให้แสดงบทบาทสมมติในสถานการณ์ที่ต้องฝึกฝนภาวะการเป็นผู้นำที่ดีในการนำทีม ซึ่งจะทำให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นและนำไปใช้จริงได้ง่ายขึ้น

 

ถึงเวลาพลิกโฉมการเรียนรู้เดิมๆ ไปสู่การเรียนรู้แห่งศตวรรษที่ 21 ในอนาคตการศึกษาภายใต้ระบบการศึกษาทั่วไปอาจจะไม่สำคัญเท่ากับ Active Learning เนื่องจากระบบการศึกษาในโรงเรียนและมหาวิทยาลัย ยังไม่มีความตื่นตัวในการปรับหลักสูตรเพื่อเจาะลึกลงไปในศาสตร์เกี่ยวกับการวิเคราะห์ข้อมูลและ Machine Learning ทำให้ไม่สามารถผลิตแรงงานที่มีประสิทธิภาพมาป้อนตลาดได้อย่างเพียงพอ ดังนั้น ผู้สอนจึงต้องเปลี่ยนการสอนที่ไม่ใช่แค่การถ่ายทอดเนื้อหาเท่านั้น แต่ต้องสร้าง Active Learning  โดยกระตุ้นผู้คนให้เกิดการคิดวิเคราะห์และทำงานร่วมกัน ได้มีส่วนร่วมระหว่างเรียน ได้ปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียนคนอื่นๆ การเรียนที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน สามารถเรียนได้ทุกที่ทุกเวลาตามหัวข้อที่เราสนใจ มองหารูปแบบการเรียนที่จะเปิดโลกการเรียนรู้ของเราในการพัฒนาทักษะที่จำเป็น โดยไม่ยึดติดกับการเรียนรู้รูปแบบเดิมๆ แต่ละคนสามารถออกแบบสไตล์การเรียนรู้ที่ตนเองชอบและเรียนได้ดี เหมาะกับชีวิตของตัวเอง

 

Active Learning เป็นการเรียนรู้ที่ไม่จำกัดวิธีการตายตัว ตัวอย่างเช่น Bill Gates ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟท์และเป็นหนอนหนังสือตัวยงที่อ่านหนังสือมากกว่า 50 เล่มต่อปี เขาได้ปรับใช้ Active Learning ในการอ่านเช่นกัน โดยเขาใช้วิธี Marginalia-note-taking ซึ่งคือการจดโน้ตลงไปในช่องว่างของหนังสือ เขาบอกว่าการจดด้วยมือเป็นสิ่งที่เขาทำแล้วมันได้ผลดีที่สุด สำหรับการอ่านหนังสือเพื่อให้รู้เรื่องและเข้าใจจริงๆ เหมือนกับการพูดคุยกับผู้เขียน และเมื่อคุณอ่านหนังสือแล้วคุณต้องคิดตามว่า สิ่งที่คุณกำลังอ่านนี้ คุณอ่านเรื่องอะไร พยายามทำความเข้าใจ ไม่ใช่แค่การอ่านแบบผ่านๆ

 

Active Learning จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ควรพัฒนาให้มีติดตัวไว้ เมื่อไหร่ที่เราก้าวเข้าสู่โลกที่ลักษณะและรูปแบบการทำงานเปลี่ยนไป เมื่อเราต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฝ่ามือของตลาดแรงงานในช่วง 5-10 ปีนับจากนี้อันเป็นผลมาจากการนำ AI และ Data analytics มาใช้งานของบริษัทในอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งคาดการณ์ว่า กว่า 85% ของงานที่จะเกิดขึ้นภายในปี 2030 ยังไม่สามารถระบุได้ว่ามีอาชีพ หรือตำแหน่งงานใหม่ๆ อะไรบ้าง หากแต่ทักษะของงานใหม่ในอนาคตจะต้องทำงานร่วมกับหุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติต่างๆ และมีความชำนาญในด้านดิจิทัล รวมทั้งเทคโนโลยีขั้นสูง ตรงนี้จะทำให้ค่าตอบแทนของแรงงานเพิ่มสูงขึ้นตามความต้องการของตลาดที่เพิ่มมากขึ้น ส่วนแรงงานไร้ทักษะมีแนวโน้มว่างงานเพิ่มมากขึ้น และจะได้รับค่าจ้างลดลงกว่าเดิมที่เป็นอยู่ Active Learning จึงเป็นทักษะที่จะช่วยติดสปีดเสริมสร้างทักษะ และองค์ความรู้ใหม่ๆ ให้รู้เท่าทันสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญมากที่หลายคนต้องพัฒนาคือเรื่องของ “Mindset” เพราะสิ่งนี้จะขับเคลื่อนพฤติกรรมให้มี Active Learning  และพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้มีความสุขกับชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวที่แต่ละคนต้องการ ซึ่งจะต้องพาตัวเองไปอยู่ในจุดที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง Mindset ใหม่ เอาตัวเองออกไปสู่โลกใหม่ เจอกับกลุ่มคนใหม่ โดยไม่ยึดติดกับความคิดว่าไม่ได้เรียนมา ลุกขึ้นมาเปลี่ยนตนเอง เปลี่ยนชีวิต นี่คือกุญแจเปิดไปสู่โอกาส ทันทีที่เราเปลี่ยนวิธีคิดได้ เราจะมีมุมกับคนอื่น กับตัวเอง กับชีวิตที่ใช่และทำให้ไปสู่ฝันของเราได้ วอเรน บัฟเฟต มหาเศรษฐีและนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งของโลก เคยบอกไว้ว่า การลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด คือการเรียนศึกษาเรียนรู้ด้วยตัวเค้าเอง เพราะเงินมาแล้วก็ไป ความสัมพันธ์บ้างมาแล้วก็ไป แต่ความรู้มันจะอยู่กับคุณตลอดไป

 

Loading

บทความอื่นๆ