“Fixed Mindset” คือ กรอบความคิดหรือทัศนคติแบบเดิม ๆ หรือยึดติดอยู่แต่ในกรอบ เกรงกลัวความผิดพลาด ไม่กล้าเสี่ยงแม้มีปัจจัยหลาย ๆ อย่างสนับสนุนในเชิงบวก เป็นต้น หลาย ๆ ปัญหาเหล่านี้ ทำให้หลายคนมีการเติบโตทางความคิดค่อนข้างช้า
ปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อมีความคิดแบบ Fixed Mindset
- ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น เพราะมองว่าตัวเองไม่ถนัดหรือไม่เก่งในด้านนี้
- ไม่เชื่อมั่นในศักยภาพของตนเอง
- เก็บตัว ไม่กล้าที่จะเผชิญอะไรใหม่ ๆ
- อยู่กับที่ ไม่รู้จักการเติบโตหรือเปลี่ยนแปลงในตัวเอง
ดังนั้นถ้าเราอยากเปลี่ยนตัวเองให้รู้จักเติบโตไปข้างหน้า พร้อมสู่การเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ สามารถเริ่มต้นได้ง่าย ๆ จากการเปลี่ยนกรอบความคิดแบบ Fixed Mindset ไปสู่กรอบความคิดแบบ Growth Mindset โดยเริ่มต้นจาก
เด็กหลาย ๆ คนในปัจจุบันโดยเชื่อว่า ความรู้และทักษะที่พวกเขามีอยู่นั้น เพียงพอแล้วสำหรับการทำงานในอนาคต ข้อมูลจากหนังสือ Future Mindset ของ อาจารย์ นพดล ร่มโพธิ์ ได้เปิดเผยว่า ความคิดที่ว่าทักษะและความรู้ที่มีอยู่ของพวกเขาสื่อให้เห็นถึงความคิดที่ไม่มีการพัฒนาหรือ Fixed Mindset ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาไม่ประสบความสำเร็จด้านการทำงานในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
อาจารย์ยังได้เน้นย้ำไปอีกว่า ความคิดเป็นสิ่งที่จะนำพาเราไปในทิศทางต่าง ๆ ถ้าไปในทางที่ดีก็จะดี แต่ถ้าไปในทางที่แย่ก็แย่ตามไปด้วย เพราะฉะนั้น ความคิดแบบพัฒนาหรือ Growth Mindset เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก ๆ ในโลกยุคใหม่ ไม่ยึดติดกับรูปแบบเก่า เพื่อต่อยอดความคิดและพัฒนาตัวเองให้ก้าวไปได้ไกลกว่าใคร
นอกจากนี้ อาจารย์ยังให้คำแนะนำในการใช้ Growth Mindset อย่างชาญฉลาดในการเตรียมพร้อมให้พวกเขาเหล่านั้น ทำงานยุคปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายที่เราตั้งได้จากหนังสือ Future Mindset
เลือกทำงานในสิ่งที่ถนัดดีกว่าการเลือกทำงานในสิ่งที่ชอบ
การเลือกทำงานในสิ่งที่ชอบนั้น ช่วงแรกอาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความสุข แต่ในบางครั้ง มันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เราชอบจริง ๆ และกลายเป็นสิ่งที่ทำแล้วหาความสุขไม่เจอไหนที่สุด ฉะนั้น เราไม่ควรฝืนตัวเองกับสิ่งที่เราชอบ แต่ควรทำงานในสิ่งที่ถนัดมากกว่า เพราะความถนัดเป็นสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดและเป็นสิ่งสามารถขับเคลื่อนเราไปข้างหน้าได้โดยที่ไม่ทำให้เรารู้สึกอึดอัด
วางลำดับการทำงานอย่างเป็นระบบ
การทำงานแบบไร้รูปแบบนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ ควรมีการจัดลำดับความสำคัญโดยควรให้ความสำคัญกับงานที่สำคัญที่สุดก่อนและงานที่ทำนั้นต้องเป็นงานที่เราถนัดด้วยเช่นเดียวกัน จากนั้นค่อยทำงานที่ไม่สำคัญและไม่ถนัดลงมาตามลำดับ
ความสมบรูณ์แบบเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น
เพราะความสมบรูณ์แบบนั้นเป็นสิ่งที่ใช้ทั้งเวลาและความคิดเป็นอย่างมาก ให้ทำงานให้ ‘เกือบสมบรูณ์’ ดีกว่าสมบรูณ์แบบ เพราะบางครั้งผลลัพธ์จาก ‘ความสมบรูณ์แบบ’ ที่เราทำอาจไม่ใช่สิ่งที่เราคาดหวังเสมอไป
เลิกเสียเวลาโดยไม่จำเป็น
ลองชั่งน้ำหนักกิจกรรมในแต่ละวันดูว่า กิจกรรมในชีวิตประจำวันแต่ละอย่างนั้น ทำให้เรามองเห็นเป้าหมายใกล้ขึ้นรึเปล่า เพราะเวลาเป็นสิ่งที่จำเป็น การเสียเวลาไปกับสิ่งที่ไม่ทำให้เกิดประโยชน์ อาจทำให้เราไปถึงเป้าหมายช้าลงไปจนถึงทำให้เราเสียสมาธิได้ เช่น การทิ้งเวลาในการเตรียมสอบไปอย่างเปล่าประโยชน์
ใช้คำว่า ‘จะ’ ให้น้อยลง
การลดคำว่าจะสามารถช่วยลดการพลาดโอกาสและทำให้เรามีเวลาเพื่อทำอย่างอื่นให้ได้มากยิ่งขึ้น เพียงแค่ลงมือทำ ก็สามารถต่อยอดไปสู่โอกาสในความสำเร็จได้
บทเรียนเหล่านี้เป็นในคำแนะนำที่ใช้ Growth Mindset หรือกรอบความคิดแบบพัฒนา ซึ่งทำให้พวกเขาเหล่านั้น ได้เห็นว่าการวางรูปแบบการทำงานให้มีประสิทธิภาพสามารถทำได้โดยต้องเริ่มจากการปรับความคิดของเราเอง เพื่อทำให้ประสบความสำเร็จทางความคิดได้ก่อนการทำงานจริง
ถ้าอยากเติบโตเราควรทิ้งกรอบความคิดแบบ Fixed Mindset แล้วเปลี่ยนความคิดให้ตัวเองรู้จักการกล้าที่จะออกจาก Safe Zone ไปสู่สิ่งใหม่ ๆ กล้าลองผิดลองถูก เพื่อที่ตัวเราจะได้รู้จักการเรียนรู้และพัฒนาตัวเองเพื่อจะได้ประสบความสำเร็จในชีวิต